Risk-Based Audit 2026: เตรียมข้อมูลและระบบควบคุมภายในให้พร้อม

Risk-Based Audit

Risk-Based Audit 2026: เตรียมข้อมูลและระบบควบคุมภายในให้พร้อม

เผยแพร่เมื่อ December 2025 • โดย A&A Office • 8 min read

ปี 2026 กำลังจะกลายเป็น “ปีของความพร้อม” มากกว่าปีของการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า งานตรวจสอบบัญชีจะขยับจากการมองแค่ความถูกต้องเชิงเทคนิคและเอกสาร ไปสู่การตรวจสอบเชิงความเสี่ยงอย่างเต็มรูปแบบ (Risk-Based Audit: RBA) ที่ให้ความสำคัญกับ

  • คุณภาพของข้อมูล (Data Quality)
  • ความน่าเชื่อถือของระบบควบคุมภายใน (Internal Control Reliability)
  • การกำกับดูแลของฝ่ายบริหาร (Governance & Oversight)

สำหรับหลายองค์กร การเตรียมเอกสารเมื่องานตรวจสอบเริ่ม จะไม่เพียงพออีกต่อไป สิ่งที่ผู้สอบบัญชียุค Risk-Based Audit มองหา คือ องค์กรที่มีความพร้อมด้านข้อมูลและคอนโทรลตลอดทั้งปี เพื่อให้สามารถลด Audit Risk ลดต้นทุนการตรวจสอบ และปิดงบได้ตรงเวลา

From Compliance to Readiness — องค์กรที่ “พร้อมอยู่แล้ว” จะได้เปรียบทั้งด้านความเร็วในการปิดงบ ความชัดเจนของข้อมูล และภาพลักษณ์ด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี

1. แนวคิดการเตรียมความพร้อมสู่ Risk-Based Audit ในปี 2026

ในอดีต หลายองค์กรคุ้นเคยกับการ “เตรียมเอกสารเมื่อต้องส่งให้ผู้สอบบัญชี” แต่ในบริบทปี 2026 เป็นต้นไป แนวคิดจะเปลี่ยนเป็น การมีระบบ ข้อมูล และคอนโทรลที่พร้อมใช้งานตลอดเวลา ไม่ใช่เฉพาะช่วงปิดงบเท่านั้น

แกนหลักของการเตรียมความพร้อมสามารถมองได้ 3 มิติหลัก:

  • Business Risk Readiness – ความพร้อมด้านการระบุและบริหารความเสี่ยงธุรกิจ
  • Financial Reporting Readiness – ความพร้อมด้านการจัดทำงบการเงินและข้อมูลประกอบ
  • Data & IT Readiness – ความพร้อมด้านระบบสารสนเทศ ข้อมูล และการควบคุมที่เกี่ยวข้อง

2. Data Readiness 2026: เตรียมข้อมูลให้พร้อมก่อนผู้สอบบัญชีเข้าตรวจ

ในงานตรวจสอบเชิงความเสี่ยง ข้อมูลคือจุดตั้งต้นของการประเมินระดับความเสี่ยงของกิจการ หากข้อมูลไม่ครบ ไม่ถูกต้อง หรือไม่เชื่อมโยง ผู้สอบบัญชีจำเป็นต้องเพิ่มการทดสอบเชิงสาระ (Substantive Procedures) ซึ่งมักแปลว่า ใช้เวลามากขึ้น และมีต้นทุนการตรวจสอบสูงขึ้น

Data Readiness ในปี 2026 สามารถแบ่งมุมมองออกได้เป็น 3 ระดับสำคัญ:

2.1 ความครบถ้วนของข้อมูล (Data Completeness)

  • ระบบ ERP หรือระบบหลักควรครอบคลุมโมดูลสำคัญ เช่น รายได้และลูกหนี้ (AR), จัดซื้อและเจ้าหนี้ (AP), เงินสดและธนาคาร, ทรัพย์สินถาวร (FA), เงินเดือนและค่าจ้าง (Payroll)
  • หลีกเลี่ยงการทำบัญชีนอกระบบหลัก (เช่น Excel) โดยเฉพาะธุรกรรมสำคัญหรือธุรกรรมที่มีมูลค่าสูง
  • มีการปิดงวดย้อนหลังอย่างเป็นทางการ และควบคุมการเปิดงวดทางบัญชีเพื่อป้องกันการปรับปรุงย้อนหลังโดยไม่จำเป็น

2.2 ความถูกต้องของข้อมูล (Data Accuracy)

  • สามารถกระทบยอด Sub-ledger กับ General Ledger ได้ครบถ้วนทุกสิ้นเดือน
  • ไม่มีการปรับปรุงบัญชีย้อนหลังโดยไม่มีเอกสารสนับสนุนหรือการอนุมัติที่ชัดเจน
  • รายการปรับปรุงปลายงวด (Closing Entries / GJV) มีเหตุผลรองรับ และผ่านการอนุมัติอย่างเป็นระบบ
  • มี Audit Trail ที่ตรวจสอบย้อนหลังได้ ทั้งในระบบบัญชีและระบบสนับสนุนอื่น ๆ

2.3 ความเชื่อมโยงของข้อมูล (Data Integration)

  • ระบบขายเชื่อมโยงกับระบบบัญชีโดยอัตโนมัติ ลดการลงข้อมูลซ้ำซ้อนด้วยมือ
  • ระบบจัดซื้อเชื่อมโยงกับระบบจ่ายชำระและระบบคลังสินค้า (เช่น 3-Way Matching ระหว่าง PO, GR, Invoice)
  • ระบบเงินเดือนเชื่อมกับ GL โดยอัตโนมัติ ลดความเสี่ยงจากการลงบัญชีแบบ Manual

หากองค์กรยังใช้ Excel เป็น “ระบบหลัก” ในการบันทึกและสรุปข้อมูลทางการเงินในปี 2026 ผู้สอบบัญชีมีแนวโน้มที่จะจัดองค์กรอยู่ในกลุ่ม High Data Risk ซึ่งจะส่งผลให้ต้องเพิ่มขอบเขตการตรวจสอบเชิงสาระและจำนวนตัวอย่างทันที

3. Internal Control Readiness 2026: ไม่ใช่แค่ “มีคอนโทรล” แต่ต้อง “คอนโทรลทำงานได้จริง”

ภายใต้ Risk-Based Audit ผู้สอบบัญชีจะประเมินทั้ง การออกแบบคอนโทรล (Control Design) และ ประสิทธิผลในการปฏิบัติจริง (Operating Effectiveness) เพื่อดูว่าระบบควบคุมภายในสามารถลดความเสี่ยงของการผิดพลาดเชิงสาระสำคัญได้จริงหรือไม่

3.1 ความพร้อมด้านการออกแบบคอนโทรล (Design Readiness)

  • แยกหน้าที่ระหว่างผู้จัดทำ (Maker), ผู้ตรวจสอบ (Checker) และผู้อนุมัติ (Approver) อย่างชัดเจน
  • มีหนังสือมอบอำนาจหรือระเบียบการอนุมัติ (Delegation of Authority: DOA) เป็นลายลักษณ์อักษร
  • ออกแบบขั้นตอนการทำงานให้ไม่สามารถมีบุคคลใดทำรายการครบทุกขั้นตอนด้วยตนเอง
  • รายการสำคัญที่มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานและฐานะการเงินต้องอยู่ในระดับที่ฝ่ายบริหารรับรู้และกำกับดูแล

3.2 ความพร้อมด้านการปฏิบัติจริง (Operating Effectiveness)

  • มีหลักฐานการอนุมัติในทุกขั้นตอนตามที่กำหนดไว้ใน DOA หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง
  • ธุรกรรมสำคัญมีเอกสารสนับสนุนครบถ้วน และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
  • มีการติดตามและทบทวนคอนโทรลโดยฝ่ายอิสระ เช่น Internal Audit หรือผู้บริหารที่ไม่ได้เป็นผู้ทำรายการ
  • ดำเนินการแก้ไข Control Weakness อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เฉพาะช่วงที่ผู้สอบบัญชีเข้าตรวจ

3.3 ความพร้อมด้าน IT General Controls (ITGC) ในปี 2026

  • การกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งานระบบตามหน้าที่จริง (Role-based Access) เพื่อลดความเสี่ยงจากการเข้าถึงข้อมูลเกินจำเป็น
  • มีการควบคุมการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมและระบบ (Change Management) อย่างเป็นขั้นตอน
  • มีระบบสำรองข้อมูล (Backup & Recovery) และมีการทดสอบแผนรองรับอย่างสม่ำเสมอ
  • มีการตรวจสอบและทบทวน Log การใช้งานระบบในช่วงเวลาที่เหมาะสม

หาก ITGC ไม่ผ่านการประเมิน ผู้สอบบัญชีจะไม่สามารถเชื่อมั่นในข้อมูลที่มาจากระบบได้เต็มที่ และจำเป็นต้องกลับไปใช้การตรวจสอบเชิงเอกสารในปริมาณมาก ซึ่งย่อมหมายถึง Audit Cost และ Audit Time ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

4. High-Risk Areas ที่องค์กรต้อง “เตรียมเชิงรุก” สำหรับปี 2026

ฝ่ายบริหารควรมองพื้นที่ความเสี่ยงสูงเหล่านี้เป็น “Priority List” ในการเตรียมข้อมูลและคอนโทรลตั้งแต่ต้นปี เพื่อลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดและข้อสังเกตจากผู้สอบบัญชี

4.1 รายได้และสัญญา (Revenue – TFRS 15)

  • การระบุ Performance Obligation ให้ชัดเจนในแต่ละประเภทสัญญา
  • การพิจารณาเงื่อนไขการรับรู้รายได้แบบ Over Time เทียบกับ Point in Time
  • การติดตามและบันทึก Contract Asset / Contract Liability อย่างถูกต้อง

4.2 สัญญาเช่า (Leases – TFRS 16)

  • การพิจารณาว่ามี Embedded Lease ซ่อนอยู่ในสัญญาบริการหรือไม่
  • การกำหนด Discount Rate ที่เหมาะสมและมีเหตุผลรองรับ
  • การเปิดเผยข้อมูลในหมายเหตุประกอบงบการเงินให้ครบถ้วนตามข้อกำหนด

4.3 การนำเสนองบและการจัดกลุ่มกำไร (TFRS 18)

  • การจัดหมวดหมู่รายการเป็น Operating, Investing และ Financing ให้สอดคล้องกับธุรกิจ
  • การแยกรายการพิเศษหรือรายการที่ไม่ปกติออกจากผลการดำเนินงานปกติ เพื่อให้ผู้อ่านงบเข้าใจผลการดำเนินงานจริง

4.4 ประมาณการทางบัญชี (ECL, Provision, Impairment)

  • Assumption และ Parameter ที่ใช้ในการประมาณการต้องมีข้อมูลรองรับ
  • มีการทบทวนและอนุมัติโดยผู้บริหารระดับสูง

4.5 บัญชีทั่วไปและ Management Override (GJV)

  • การอนุมัติรายการปรับปรุงที่มีผลกระทบต่อกำไรหรือส่วนของผู้ถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • การควบคุมไม่ให้เกิดการใช้ GJV ในการหลีกเลี่ยงคอนโทรลหลัก หรือในการ “จัดแต่ง” ผลประกอบการ

5. บทบาทของฝ่ายบริหารในการเตรียมความพร้อม ปี 2026

Risk-Based Audit ในปี 2026 ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายบัญชีเพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ ทั้งองค์กร โดยเฉพาะฝ่ายบริหารและคณะกรรมการที่มีหน้าที่กำกับดูแลระบบควบคุมภายในและคุณภาพของข้อมูล

ฝ่ายบริหารจึงควรดำเนินการอย่างน้อยในประเด็นต่อไปนี้:

  • จัดทำ Risk Register ขององค์กร และทบทวนความเสี่ยงอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
  • กำหนด Key Risks & Key Controls (KRC) อย่างเป็นระบบ และเชื่อมโยงกับกระบวนการทำงานจริง
  • ติดตามและแก้ไขข้อบกพร่องของระบบควบคุมภายในอย่างต่อเนื่อง ไม่รอจนกว่าผู้สอบบัญชีจะออกข้อสังเกต
  • กำกับการใช้ดุลพินิจทางบัญชี (Management Judgment) ให้มีเหตุผล โปร่งใส และมีเอกสารสนับสนุน
  • เตรียม Management Analysis & Supporting Data ให้พร้อมสำหรับการตรวจสอบตั้งแต่ก่อนเริ่มงาน audit

6. สิ่งที่ผู้สอบบัญชีจะเน้นเป็นพิเศษในปี 2026

ในบริบทของ Risk-Based Audit ผู้สอบบัญชีจะให้ความสำคัญกับ “คุณภาพของระบบและข้อมูล” ไม่แพ้ “ตัวเลขในงบการเงิน” ประเด็นหลักที่มักถูกจับตา ได้แก่:

  • ความน่าเชื่อถือของข้อมูลจากระบบ ERP และระบบสนับสนุนอื่น
  • ประสิทธิผลของระบบควบคุมภายในทั้งด้าน Design และ Operating Effectiveness
  • ความสมเหตุสมผลของประมาณการทางบัญชีและดุลพินิจของฝ่ายบริหาร
  • ความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลในงบการเงินและหมายเหตุประกอบงบ
  • บทบาทการกำกับดูแลของฝ่ายบริหารและคณะกรรมการ

องค์กรที่เตรียมความพร้อมล่วงหน้า จะสามารถ

  • ลดข้อสังเกตจากผู้สอบบัญชี
  • ลดความเสี่ยงในการถูกจัดเป็น High-Risk Client
  • ลดระยะเวลาและต้นทุนการตรวจสอบบัญชี
  • เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุน คู่ค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

สำหรับองค์กรที่ต้องการขยับจาก “การตอบสนองเมื่อถูกตรวจสอบ” ไปสู่ “การเตรียมพร้อมเชิงรุก” การประเมิน Data Readiness, Internal Control Readiness และ Governance Framework อย่างเป็นระบบ จะกลายเป็นหนึ่งใน โครงการสำคัญของปี 2026 ซึ่งผู้สอบบัญชีและที่ปรึกษามืออาชีพสามารถช่วยออกแบบและร่วมเดินไปด้วยกันได้

แชร์: